✅ ESG ไม่ใช่แค่การตลาด แต่เปลี่ยนโครงสร้างความน่าเชื่อถือของธุรกิจ
ESG ย่อมาจาก Environmental, Social, and Governance หรือในภาษาไทยคือ “สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล” เป็นแนวคิดที่ใช้ในการประเมินความยั่งยืนและผลกระทบที่ไม่ใช่แค่ด้านการเงินของธุรกิจหรือองค์กร
1. Environmental – สิ่งแวดล้อม บริษัทมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร? มีวิธีจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือไม่? Metric ที่วัดได้ เช่น:
- ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Scope 1–3)
- เปอร์เซ็นต์การใช้พลังงานหมุนเวียน
- เป้าหมาย Net Zero หรือ Carbon Neutrality
2. Social – สังคม บริษัทดูแลผู้คนอย่างไร ตั้งแต่พนักงาน ผู้บริโภค ไปจนถึงชุมชน Metric ที่วัดได้ เช่น:
- ความพึงพอใจของพนักงาน และ อัตราการลาออก
- การมีนโยบายด้านความหลากหลายและการไม่เลือกปฏิบัติ
- ผลกระทบต่อชุมชนจากกิจกรรมของบริษัท
3. Governance – ธรรมาภิบาล บริษัทบริหารอย่างโปร่งใสหรือไม่? มีระบบตรวจสอบที่เข้มแข็งแค่ไหน Metric ที่วัดได้ เช่น:
- การเปิดเผยค่าตอบแทนผู้บริหาร
- การมีคณะกรรมการตรวจสอบและบริหารความเสี่ยง
- ความสม่ำเสมอของการเปิดเผยข้อมูลต่อผู้ถือหุ้น

✅ ทำไม ESG จึงเป็น “เกณฑ์ลงทุน” แห่งอนาคต
บริษัทที่ไม่ใส่ใจ ESG อาจเติบโตเร็วแต่พังเร็วเช่นกัน ESG จึงไม่ใช่การทำดีเพื่อภาพลักษณ์แต่คือการออกแบบ “โมเดลธุรกิจที่อยู่รอดในโลกยุคใหม่”
นักลงทุนใช้ข้อมูล ESG จากแหล่งต่อไปนี้ในการวิเคราะห์บริษัท:
- รายงาน 10-K (US) โดยเฉพาะ Management Discussion & Analysis (MD&A)
- รายงาน 56-1 One Report (ไทย) ซึ่งรวมข้อมูลด้าน ESG ตามแนวทางของ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์
- Sustainability Reports และข้อมูลจาก ESG Rating Agencies (MSCI, Sustainalytics, Refinitiv)
SET ระบุว่า ข้อมูล ESG ช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพธุรกิจในมิติที่กว้างกว่า โดยส่งผลต่อ:
- การวิเคราะห์ความสามารถในการแข่งขันและสร้างผลตอบแทนระยะยาว
- การประเมินศักยภาพการจัดการความเสี่ยง และโอกาสในการลดต้นทุน
- การวัดความพร้อมในการเข้าถึงเงินทุนและสร้างความน่าเชื่อถือกับผู้มีส่วนได้เสีย
ธุรกิจที่เปิดเผยข้อมูล ESG อย่างโปร่งใส คือธุรกิจที่ดึงดูดนักลงทุนระยะยาว
ESG Investment อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ?
ปี 2025 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการลงทุนแบบ ESG — ด้วยแรงกดดันทางการเมือง, กระแสเงินทุนผันผวน, และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
จากข้อมูลบทความของ Rothschildandco Q1/2025: Sustainable fund ทั่วโลกมี เงินไหลออกสุทธิกว่า 8.6 พันล้านดอลลาร์ — สวนทางกับ Q4/2024 ที่ยังมีกระแสเงินไหลเข้า 18.1 พันล้านดอลลาร์ จากความไม่แน่นอนทางการเมือง (โดยเฉพาะนโยบายของ Trump) + กฎระเบียบ EU ที่เปลี่ยนแปลง + ผลตอบแทนในกลุ่มพลังงานสะอาดที่ยัง underperform
อย่างไรก็ตามแนวโน้มตลาด ESG ปี 2025 ยังคงมีความน่าสนใจ
- สินทรัพย์ ESG ยังคงอยู่ที่ระดับสูงถึง 3.16 ล้านล้านดอลลาร์
- คาดว่าเม็ดเงินกว่า $2 ล้านล้านดอลลาร์จะ ไหลสู่ Clean energy (สูงเป็น 2 เท่าของ Fossil Fuel)
- รถ EV ที่ขายได้กว่า 17 ล้านคัน คิดเป็น 20% ของยอดขายทั่วโลก
- Asset managers หลายแห่งเลิกใช้คำว่า “ESG” แต่ยังลงทุนตามธีม climate/social เช่นเดิม
- Regulator ทั่วโลกเร่งวางมาตรฐานเพื่อให้ข้อมูล ESG มีความน่าเชื่อถือและเปรียบเทียบได้”
แม้เผชิญกับแรงเสียดทาน แต่แนวโน้มโครงสร้าง เช่น กฎระเบียบเข้มงวดขึ้น และการลงทุนพลังงานสะอาดที่เพิ่มขึ้น ชี้ถึง ความมุ่งมั่นระยะยาวต่อการเงินยั่งยืน
นักลงทุนควรใช้ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ วางกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับคุณค่าและเป้าหมายระยะยาวที่ให้ทั้งผลตอบแทนทางการเงิน + ผลกระทบยั่งยืนที่จับต้องได้

Green Finance คืออะไร?
Green Finance หรือ การเงินเพื่อสิ่งแวดล้อม คือการจัดสรรเงินทุนไปยังโครงการหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน
พูดง่ายๆ คือ เงินทุนที่ไม่เพียงสร้างผลตอบแทนแต่ยังช่วย “ดูแลโลก” ไปพร้อมกัน
ตัวอย่างกิจกรรมในกลุ่ม Green Finance เช่น:
- การลงทุนใน พลังงานหมุนเวียน (เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล)
- การพัฒนา อาคารหรือเมืองอัจฉริยะสีเขียว ที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- การสนับสนุน การขนส่งคาร์บอนต่ำ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถสาธารณะ
- การลงทุนใน โครงการกักเก็บคาร์บอน เช่น การปลูกป่า การอนุรักษ์ป่าชายเลน

💬 แล้ว Green Finance เกี่ยวอะไรกับ ESG?
Green Finance ถือเป็น “พลังขับเคลื่อน” ที่ทำให้ ESG ไม่ใช่แค่แนวคิดแต่เกิดขึ้นได้จริงในเชิงธุรกิจ
- นักลงทุนใช้แนวคิด ESG เป็น เกณฑ์วิเคราะห์ก่อนตัดสินใจลงทุน
- ธุรกิจที่มีเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมชัดเจน มักเข้าถึงทุนได้ง่ายขึ้น
- การรายงานความยั่งยืนจึงกลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง “ความตั้งใจของธุรกิจ” กับ “ความมั่นใจของนักลงทุน”

🌱 Green Finance ต่างจาก Sustainable Finance ยังไง?
- Green Finance โฟกัสเฉพาะ “สิ่งแวดล้อม” เช่น ลดมลพิษ ภาวะโลกร้อน พลังงานสะอาด
- Sustainable Finance กว้างกว่า ครอบคลุมทั้ง ESG คือสิ่งแวดล้อม (E) สังคม (S) และธรรมาภิบาล (G)
ดังนั้น Green Finance จึงถือเป็น "ส่วนหนึ่ง" ของ Sustainable Finance

📈 ทำไม Green Finance กำลังมาแรง?
- นโยบายรัฐและกฎหมายใหม่ เช่น Climate Change Act หรือ Net Zero Targets
- พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป สนใจแบรนด์ที่รับผิดชอบต่อโลก
- นักลงทุนต้องการสินทรัพย์ที่ยั่งยืน และมีโอกาสเติบโตในระยะยาว
- ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมส่งผลต่อธุรกิจ โดยตรง เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง ราคาคาร์บอน

🤝 บทบาทของแพลตฟอร์มตัวกลางในการเชื่อมโยงทุนสู่ความยั่งยืน
ในฐานะแพลตฟอร์มที่เชื่อม “นักลงทุน” และ “ผู้ประกอบการ” เราเชื่อว่า:
“ESG x Green Finance ไม่ใช่แค่เรื่องของภาพลักษณ์ แต่นี่คือการออกแบบอนาคตใหม่ของธุรกิจ”
- เราเปิดพื้นที่ให้ธุรกิจที่พร้อมก้าวสู่แนวยั่งยืน ได้เข้าถึงนักลงทุนที่มองหา “ธุรกิจที่โลกต้องการ”
- เราสนับสนุนการเปิดเผยข้อมูล ESG อย่างมีมาตรฐาน
- และเราช่วยให้แนวคิดดีๆ ด้านสิ่งแวดล้อม กลายเป็น โอกาสที่จับต้องได้
ขั้นตอนการสมัครเป็นนักลงทุนกับ Peer Power คลิก!
คำเตือน : การลงทุนในหุ้นคราวด์ฟันดิงผ่านเพียร์ พาวเวอร์ เป็นการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจเพียงพอทั้งด้านความเสี่ยง และความสามารถในการตัดสินใจลงทุนด้วยตนเอง ความเสี่ยงในที่นี้หมายถึงความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของหลักทรัพย์และความเสี่ยงในการสูญเสียเงินจากการลงทุน การลงทุนในหุ้นคราวด์ฟันดิงเป็นการลงทุนที่เหมาะสมกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุน นักลงทุนจะสามารถเริ่มลงทุนได้ต่อก็ต่อเมื่อนักลงทุนทำการลงทะเบียนและผ่านแบบประเมินความรู้ความเข้าใจในการลงทุนแล้ว