6 เทรนด์ธุรกิจมาแรงที่นักลงทุนควรจับตามอง
เราเริ่มจะเห็นว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในอีกทิศทางหนึ่ง ทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งในปัจจุบันการติดต่อสื่อสารสะดวกสบายมากขึ้น เราสามารถเชื่อมโลกได้ผ่านเครือข่ายไร้สาย อีกทั้งยังสามารถรับรู้ข่าวสารได้อย่างรวดเร็วภายในชั่วข้ามคืน ทำให้ธุรกิจมีการปรับรูปแบบการดำเนินการ และนำเสนอโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เพื่อตอบสนองกับผู้บริโภคให้มากที่สุด ในฐานะนักลงทุน จึงต้องคอยติดตามข่าวสารอยู่เสมอ โดย เมกะเทรนด์ 2018 นี้มีหลายอุตสาหกรรมที่เราควรจับตามอง ดังต่อไปนี้ค่ะ
1. อาหารเพื่อสุขภาพ
เทรนด์การออกกำลังกายและการรักษาสุขภาพนั้นมาแรงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ธุรกิจเกี่ยวกับการออกกำลังกายเติบโตอย่างรวดเร็ว และผลพวงการการดูแลและใส่ใจตัวเองของคนสมัยใหม่ทำให้มีพฤติกรรมการเลือกทานอาหารที่เป็นประโยน์มากขึ้น ทำให้สินค้าเกษตรกรรม ที่เป็น ออร์แกนิค หรือ เกษตรอินทรีย์ ปลอดการปรุงแต่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อไม่นานมานี้ กระทรวงสาธารณสุข ห้ามผลิต นำเข้า และจำหน่าย ไขมันทรานส์ แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจสุขภาพของคนไทยที่มากขึ้นอย่าง Diamond Grains เองก็ประสบความสำเร็จมาก จนสามารถขยายช่องทางการขาย ส่งออกไปต่างประเทศ และเปิดสาขาของตนเองหรือขนมปังโฮลวีตชื่อดังอย่างแบรนด์ Cubic แม้จะขายราคาสูงกว่าขนมปังฟอกขาวในท้องตลาด แต่ก็สามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง
Photo credit: เว็บไซต์ www.cubicbread.comสองตัวอย่างที่ได้กล่าวไป สะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์สุขภาพที่มาแรง ถึงแม้ว่าจะเริ่มมีหลายธุรกิจที่ออกสินค้าใหม่ๆ มา แต่ว่าการเติบโตของกลุ่มคนรักสุขภาพก็ยังมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นทำให้อาหารเพื่อสุขภาพยังเป็นที่ตลาดน่าจับตามองต่อไป
2. ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสำหรับผู้ชาย
นอกเหนือจากการใส่ใจตัวเองด้านสุขภาพร่างกายแล้ว หลายๆ คนก็ยังให้ความใส่ใจถึงผิวหน้าและผิวกายอีกด้วย แต่ถ้าหากว่าเป็นสำหรับเหล่าสาวๆ นั้นก็คงจะไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่ แต่ว่าผลสำรวจใหม่จากสำนักข่าว Forbes พบว่า ชายหนุ่มที่อายุระหว่าง 18-44 มีการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าเพิ่มขึ้นถึง 84% และยังมีการคาดการณ์ว่าในปี 2022 จะมูลค่าตลาดสูงถึง 166 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ อีกด้วยทำให้แบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำระดับโลกต้องแข่งกันออกผลิตภัณฑ์ตัวใหม่สำหรับคุณผู้ชายเพื่อช่วงชิงพื้นที่ในตลาดและกอบโกยยอดขายกันอย่างหนักหน่วง และจะดีแค่ไหนถ้าหากว่าคุณสามารถลงทุนในกิจการเหล่านี้ได้ก่อนคนอื่นๆ
3. บริการเพื่อผู้สูงอายุ
ด้วยพัฒนาการทางการแพทย์ ทำให้คนมีอายุยาวขึ้น และด้วยค่านิยมต่างๆ คนไทยแต่งงานน้อยลง และมีเด็กเกิดในอัตราที่ต่ำลง โดยในประเทศไทยตอนนี้มีผู้สูงอายุมากกว่า 9 ล้านคนและคาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นถึง 17 ล้านคนในปี 2033 และไม่ใช่เพียงแค่ในไทยเท่านั้น องค์กรสหประชาชาติยังคาดการณ์ว่าในปี 2050 จะมีจำนวนผู้สูงอายุทั่วโลกถึง 2,000 ล้านคนหรือราวๆ 21%ตัวเลขที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆแบบนี้ทำให้เกิดธุรกิจบริการแนวใหม่เกิดขึ้นอย่างหลากหลาย ทั้งบริการ Nursing Home ให้กับผู้สูงอายุ ธุรกิจอาหารปิ่นโต การจัดกิจกรรมหรือโครงการเพื่อผู้สูงอายุ และแน่นอนว่าความต้องการสินค้า ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุก็มีความต้องการมากขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการหลายแห่งก็ได้เล็งเห็นถึงขนาดของตลาดที่ใหญ่ทำให้เกิดการพัฒนาสินค้าเพื่อผู้สูงวัยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือ ไฟทางเดินฉุกเฉิน รถเข็นไฟฟ้า และสินค้าอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งรับประกันได้ว่าธุรกิจเหล่านี้จะยิ่งเติบโตขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอนDinsow คือหุ่นยนต์ช่วยดูแลผู้สูงอายุ ลูกหลานไม่ต้องเฝ้าใกล้ๆ ผู้สูงอายุตลอดเวลา เพราะสามารถโทรเข้าหาหุ่นยนต์ดินสอ และวิดีโอคอลกับผู้สูงอายุได้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์และเข้ากับยุคสมัยนี้มากๆ
4. เทคโนโลยีการแพทย์ (Medical Tech)
เพราะคนสมัยใหม่หันมาใส่ใจสุขภาพมากยิ่งขึ้น คนสามารถเข้าถึงการรักษาได้สะดวกและรวดเร็วมากกว่าแต่ก่อน ทำให้บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกเริ่มหันมาสนใจที่จะพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์และแอปพลิเคชั่นที่รองรับการดูแลสุขภาพและการรักษาทางการแพทย์มากขึ้น อย่างเช่น Apple ที่ได้ออก Apple Watch Series 5 ที่รองรับการวัดคลื่นหัวใจที่ได้มาตรฐานระดับโลกและ แอป Workout ที่ช่วยตรวจวัดประสิทธิภาพในการออกกำลังกายและเก็บข้อมูลต่างๆในร่างกายได้มากขึ้นกว่าเดิม
Photo creditอุตสหกรรม MedTech ในตอนนี้มีหุ่นยนต์และเครื่องมือทางการแพทย์มากกว่า 750,000 เครื่องทั่วโลก และยังมีการค้นพบการตัดต่อทางพันธุกรรมใหม่ๆ อีกมากมาย และคาดว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า AI น่าจะเข้ามามีบทบาทในการแพทย์อย่างแน่นอน
5. FinTech (ฟินเทค)
ต้องยอมรับว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรม FinTech ได้รับความสนใจอย่างมาก ซึ่งสาเหตุที่ FinTech มีการเติบโตที่รวดเร็วมากกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ นั้นก็เพราะว่า การเงินเป็นเรื่องพื้นฐานที่คนทุกคนต้องข้องเกี่ยวอยู่เสมอ และเทคโนโลยีสามารถเข้าช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกิจจำนวนมาก ทำให้ FinTech ยังเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่น่าจับตามอง และคาดว่าจะมีมูลค่าตลาดในปี 2020 สูงถึง 73 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ในปีที่ผ่านมาเราจะเห็นได้ชัดว่ามีหลายธนาคารได้ปิดสาขาลงเป็นจำนวนมาก เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคได้เปลี่ยนไป จากเดิมการทำธุรกรรมต่างๆ จะต้องไปที่สาขาเท่านั้น แต่ปัจจุบันทุกคนหันมาทำรายการผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งธนาคารก็หันมาเน้นต่อสู้กันด้วย Digital Banking โดยการนำเทคโนโลยีมากมายมาพัฒนาเพื่ออำนวยความสะดวกผู้บริโภคเชื่อว่าปีนี้เทรนด์สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) มาแน่นอน โดยธนาคารได้มีการพัฒนาการใช้จ่ายผ่านระบบ QR Code รวมถึงได้มีการยกเลิกค่าธรรมเนียมการถอน โอน จ่ายเงิน ต่างธนาคารผ่านช่องทางดิจิทัลแล้วซึ่งถือเป็นผลดีอย่างมากกับผู้บริโภค
ในส่วนของการลงทุนคงไม่พ้นเรื่อง Cryptocurrency หรือ สกุลเงินดิจิทัล ที่เป็นกระแสอยู่ในแวดวงการเงิน หากพูดถึงสกุลเงินที่เป็นกระแสฮ็อตฮิตก็คงจะไม่พ้น Bitcoin, Ripple, Etheruem ซึ่งยังคงมีนักลงทุนทั้งรายเก่า และรายใหม่ที่สนใจเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก เพื่อเก็งกำไร และดูทิศทางความเป็นไปได้ของสกุลเงินดิจิทัลในอนาคตอีกด้วย
6. การใช้หุ่นยนต์และ Automation
เทรนด์เทคโนโลยีอันล้ำสมัยในปัจจุบันได้มีการนำ หุ่นยนต์ โดรน และเครื่องจักร มาใช้ประโยชน์มากขึ้น ในกระบวนการการผลิต ส่วนหนึ่งก็เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนด้านแรงงาน ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการผลิต โดยมุ่งเน้นที่จะลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการลง ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ถูกบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกหลายรายนำหุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติมาใช้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ไม่เพียงแต่เฉพาะเพื่อผลิตสินค้าเท่านั้น แต่หุ่นยนต์เหล่านี้ถูกนำมาใช้เพื่อการบริการ และในชีวิตประจำวันด้วยเช่นกัน ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าในอีก 10-20 ปีข้างหน้านี้ แรงงานมนุษย์อาจจะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์มาถึง 95 ล้านตำแหน่งเลยทีเดียวตัวเลขเชิงสถิติช่วยยืนยันว่ากระแสการใช้หุ่นยนต์มาแรงจริง
โดยในปี 2558 ทั่วโลกมีหุ่นยนต์ใหม่ที่เข้ามาช่วยในการผลิตถึง 250,000 ตัว หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15 จากปีก่อนหน้า โดยหุ่นยนต์ถึง 80% กระจุกใน 4 อุตสาหกรรมที่ลงทุนในเครื่องจักรสูง ได้แก่ รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก และกลุ่มเคมีภัณฑ์และพลาสติกอีคอมเมิร์ซ อย่าง Amazon ก็มีร้านค้าออนไลน์อย่าง Amazon Go ที่แค่หยิบของที่อยากได้ ก็สามารถเดินออกจากร้านได้เลย โดยไม่ต้องต่อคิว! Amazon ได้ใช้เทคโนโลยีเดียวกับรถยนต์ไร้คนขับ เพื่อเช็คสินค้าที่หายไป และจากนั้นก็ส่งใบเสร็จไปเก็บเงินหลังจากที่ผู้ซื้อออกจากร้านไปแล้ว เทคโนโลยีดังกล่าวช่วยลดจำนวนพนักงานได้อย่างมาก
แต่ละธุรกิจนั้นก็มีแนวโน้มการเติบโตที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจเลือกลงทุน เพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ทางที่ดีคุณควรจะเลือกลงทุนให้หลากหลายเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตคุณสุดท้ายนี้ การศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ในสิ่งที่ลงทุน และตัดสินใจโดยอ้างอิงจากข้อมูลที่ครบถ้วนรอบด้าน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนให้กับทุกท่านได้เป็นอย่างดีครับ หากนักลงทุนท่านใด สนใจที่จะลงทุนในหุ้นกู้คราวด์ฟันดิง สามารถอ่านละเอียดเพิ่มเติม หรือสมัครเป็นนักลงทุนของเพียร์ พาวเวอร์ได้จากลิงก์ด้านล่างเลยครับ
_______________________________________________________________________
คำเตือน : การลงทุนในหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงผ่านเพียร์ พาวเวอร์ เป็นการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจเพียงพอทั้งด้านความเสี่ยง และความสามารถในการตัดสินใจลงทุนด้วยตนเอง ความเสี่ยงในที่นี้หมายถึงความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของหลักทรัพย์และความเสี่ยงในการสูญเสียเงินจากการลงทุน การลงทุนในหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงเป็นการลงทุนที่เหมาะสมกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุน นักลงทุนจะสามารถเริ่มลงทุนได้ต่อก็ต่อเมื่อนักลงทุนทำการลงทะเบียนและผ่านแบบประเมินความรู้ความเข้าใจในการลงทุนแล้ว