ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจ SME ไทยจำนวนมากเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ ๆ ในการระดมทุน จากเดิมที่พึ่งพาเงินจากเจ้าของ เงินกู้ธนาคาร หรือเงินจากคนใกล้ตัว ขณะนี้มีนักลงทุนเอกชน แพลตฟอร์มระดมทุน และรูปแบบการลงทุนที่หลากหลายเพิ่มมากขึ้น
แต่ในทางปฏิบัติ…
แม้หลายธุรกิจจะ “มีของ” และ “มีลูกค้าจริง” แต่ก็ยังไม่สามารถระดมทุนได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับนักลงทุนโดยตรงหรือผ่านแพลตฟอร์มก็ตาม
ปัญหามักไม่อยู่ที่ธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับ “การเตรียมตัวก่อนระดมทุน” บทความนี้จึงขอเสนอ 5 เหตุผลหลักที่ทำให้ SME ไทยไม่สามารถระดมทุนได้ พร้อมแนวทางแก้ไขที่เจ้าของกิจการสามารถเริ่มดำเนินการได้ทันที
เหตุผลที่ 1: งบการเงินไม่พร้อม หรือไม่สะท้อนภาพธุรกิจจริง
สำหรับนักลงทุน “ตัวเลข” คือภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร แต่สำหรับ SME ไทยจำนวนมาก งบการเงินมักถูกจัดทำเพื่อวัตถุประสงค์ด้านภาษีเป็นหลัก ทำให้รายได้ดูต่ำ ต้นทุนสูง และกำไรบางกว่าความเป็นจริง
ผลลัพธ์คือ:
- นักลงทุนไม่เห็นศักยภาพธุรกิจจากงบการเงิน
- ธุรกิจดูไม่เติบโต แม้ในความเป็นจริง “เงินหมุนเวียนทั้งวัน”
วิธีแก้ (ที่เริ่มได้ทันที):
- จัดทำ “งบบริหาร” (Management Report) โดยใช้ข้อมูลจริง เช่น ยอดขายจาก POS, Excel, หรือข้อมูลจากแพลตฟอร์มออนไลน์
- แยกให้เห็นชัดระหว่าง “ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ” กับ “ค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเจ้าของ”
- สรุปตัวเลขสำคัญ เช่น
- รายได้รายเดือน/รายไตรมาสย้อนหลัง 12 เดือน
- กำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)
- สัดส่วนค่าใช้จ่ายหลัก ๆ
ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากระบบบัญชีที่ซับซ้อน แค่มี “ภาพรวมตัวเลขที่ซื่อสัตย์และสม่ำเสมอ” นักลงทุนก็จะเห็นคุณค่ามากขึ้น
.png)
เหตุผลที่ 2: ไม่มีตัวเลขพิสูจน์ Product–Market Fit
หลายธุรกิจสามารถบอกได้ว่าลูกค้าชอบสินค้าและได้รับคำชมมากมาย แต่เมื่อถึงเวลานำเสนอให้นักลงทุนกลับไม่สามารถตอบได้ว่า:
- ลูกค้าที่เคยซื้อแล้ว กลับมาซื้อซ้ำกี่เปอร์เซ็นต์
- มูลค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิลเท่าไร
- ลูกค้ากลุ่มหลักคือใคร
คำว่า “ขายดี” หรือ “ลูกค้าชอบมาก” จึงกลายเป็นเพียงคำบอกเล่า ไม่ใช่หลักฐานที่ชัดเจน
วิธีแก้: เริ่มเก็บตัวเลขง่าย ๆ ก่อน
ไม่ต้องเป็น Dashboard ที่ซับซ้อน แค่เริ่มจาก:
- Repeat Rate: ลูกค้ากี่เปอร์เซ็นต์ที่กลับมาซื้อซ้ำใน 3–6 เดือน
- Average Ticket Size: ลูกค้า 1 คนใช้จ่ายเฉลี่ยเท่าไรต่อครั้ง
- ช่องทางการขายหลัก: ลูกค้ามาจากไหน (หน้าร้าน / Online / แพลตฟอร์มต่าง ๆ)
- Top 5 สินค้าหรือบริการที่ขายดีที่สุด
ตัวเลขเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนเห็นว่า “ตลาดตอบรับแล้ว” ไม่ใช่แค่ไอเดียบนกระดาษ
.png)
เหตุผลที่ 3: Story ของธุรกิจไม่ชัด ทำให้ธุรกิจไม่น่าจดจำ
ธุรกิจจำนวนไม่น้อยมีจุดเด่นในตัวเอง แต่ไม่ได้เล่าให้ชัดเจน เวลาพูดหรือเขียนข้อมูลระดมทุนจึงเต็มไปด้วยคำว่า:
- คุณภาพดี
- บริการประทับใจ
- ราคาคุ้มค่า
- ใส่ใจลูกค้า
ซึ่งทุกธุรกิจสามารถพูดได้เหมือนกันหมด ทำให้นักลงทุนไม่สามารถจดจำอะไรได้เลย
วิธีแก้: สร้าง Narrative สั้น ๆ ให้ธุรกิจ
ลองตอบ 3 คำถามนี้ให้ชัด:
- เรากำลังแก้ปัญหาอะไรให้ใคร?
- อะไรคือจุดแตกต่างที่คู่แข่งลอกยาก?
- หากธุรกิจเราเติบโตเต็มที่ จะช่วยเปลี่ยนชีวิตลูกค้าหรือสังคมยังไง?
จากนั้นลองสรุปเป็น ข้อความสั้น ๆ 2–3 บรรทัด เช่น:
“เราช่วยให้ร้านอาหารขนาดเล็กลดต้นทุนวัตถุดิบลง 10–15% ด้วยระบบรวมออเดอร์วัตถุดิบจากหลายร้านให้ซัพพลายเออร์รายใหญ่จัดส่งในครั้งเดียว”
ข้อความแบบนี้ทำให้นักลงทุนเห็นภาพชัดกว่าคำว่า “เราช่วยให้ร้านอาหารบริหารจัดการได้ดีขึ้น” มาก
.png)
เหตุผลที่ 4: ไม่ชัดเจนว่ากำลังระดมทุนใน “รอบไหน” และจะเอาเงินไปทำอะไร
เจ้าของ SME หลายคนรู้แค่ว่า “ธุรกิจต้องการเงินเพิ่ม” แต่ไม่ได้เตรียมคำตอบว่า:
- ธุรกิจอยู่ในช่วงไหนของการเติบโต (เริ่มทดลอง / เริ่มขยาย / ขยายเต็มกำลัง)
- เงินที่ได้จะนำไปทำอะไรอย่างเป็นรูปธรรม
- เมื่อใช้เงินก้อนนี้แล้วควรเห็นผลลัพธ์แบบไหน (เช่น ยอดขายเพิ่ม X เท่า, เปิดสาขาใหม่, เร่งพัฒนาโปรดักต์)
นักลงทุนจึงมองไม่เห็นว่า “เงินของเขา” จะเปลี่ยนเป็น “การเติบโตของธุรกิจ” ได้อย่างไร
วิธีแก้: ผูก “เงินลงทุน” เข้ากับ “Milestone ที่ชัดเจน” ตัวอย่างเช่น:
- ระดมทุน 5 ล้านบาท
- 3 ล้านบาท: เปิดสาขาใหม่ 2 แห่งในกรุงเทพฯ
- 1 ล้านบาท: ลงทุนด้านระบบหลังบ้านและโลจิสติกส์
- 1 ล้านบาท: การตลาดและสร้างแบรนด์
- เป้าหมาย:
- เพิ่มรายได้รวม 2 เท่าใน 18 เดือน
- ลดต้นทุนต่อหน่วยลง 10–15% จาก Economy of Scale
เมื่อมีภาพแบบนี้ นักลงทุนจะประเมินได้ง่ายขึ้นว่าดีลนี้น่าสนใจหรือไม่
.png)
เหตุผลที่ 5: Founder ยังไม่พร้อมสำหรับ “การคุยเชิงนักลงทุน”
ถึงแม้ธุรกิจจะมีศักยภาพ แต่นักลงทุนจำนวนมากตัดสินใจจาก “ความมั่นใจในทีมผู้ก่อตั้ง” เป็นหลัก
สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยคือ:
- Founder ไม่กล้าพูดถึง “ความเสี่ยง” ของธุรกิจ
- ตอบคำถามด้านตัวเลขได้ไม่ชัดเจน เช่น ต้นทุน, Margin, Break-even
- ไม่ได้คิดล่วงหน้าว่า หากแผนไม่เป็นไปตามคาด จะรับมืออย่างไร
วิธีแก้: เตรียมตัวด้วยการทำ “Investor FAQ” ของธุรกิจตัวเอง ลองเขียนคำถาม–คำตอบเหล่านี้ไว้ล่วงหน้า:
- จุดแข็ง 3 ข้อ และความเสี่ยง 3 ข้อของธุรกิจคืออะไร
- ถ้าเศรษฐกิจชะลอตัว ยอดขายตก 20% ธุรกิจจะรับมืออย่างไร
- โครงสร้างต้นทุนหลัก ๆ คืออะไร มีอะไรปรับได้/ปรับไม่ได้
- หากระดมทุนไม่ได้เลย ธุรกิจยังเดินต่อได้ไหม ด้วยทางเลือกอะไร
การเตรียมตัวลักษณะนี้จะไม่เพียงช่วยในช่วงการพูดคุยกับนักลงทุน แต่ยังช่วยให้ Founder มองเห็นธุรกิจของตนอย่างเป็นระบบมากขึ้นด้วย
สรุป: การระดมทุนที่ดีเริ่มจาก “การบ้านที่ทำไว้ก่อนแล้ว”
การระดมทุนไม่ใช่เพียงขั้นตอนของการขอเงินเพิ่ม แต่เป็นโอกาสที่เจ้าของกิจการจะได้มองธุรกิจของตนอย่างลึกซึ้ง ผ่านมุมมองของผู้ที่อยู่ “นอกกิจการ”
สรุป 5 เหตุผลหลักที่ทำให้ SME ไทยระดมทุนไม่สำเร็จ คือ:
- งบการเงินไม่พร้อม หรือไม่สะท้อนภาพธุรกิจจริง
- ไม่มีตัวเลขพิสูจน์ว่าลูกค้าต้องการสินค้าหรือบริการอย่างต่อเนื่อง
- Story และจุดต่างของธุรกิจไม่ชัดเจน
- ไม่ชัดว่าระดมทุนในรอบไหน และจะใช้เงินไปกับอะไร
- Founder ยังไม่พร้อมสำหรับการคุยเชิงนักลงทุน
ข่าวดีคือ ทุกข้อเป็นเรื่องที่ “เตรียมตัวล่วงหน้าได้” และยิ่งเริ่มทำการบ้านเหล่านี้เร็วเท่าไร โอกาสในการระดมทุนสำเร็จ – ไม่ว่าผ่านนักลงทุนส่วนตัว ธนาคาร หรือแพลตฟอร์มระดมทุน – ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น
คำเตือน : การลงทุนในหุ้นคราวด์ฟันดิงผ่านเพียร์ พาวเวอร์ เป็นการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจเพียงพอทั้งด้านความเสี่ยง และความสามารถในการตัดสินใจลงทุนด้วยตนเอง ความเสี่ยงในที่นี้หมายถึงความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของหลักทรัพย์และความเสี่ยงในการสูญเสียเงินจากการลงทุน การลงทุนในหุ้นคราวด์ฟันดิงเป็นการลงทุนที่เหมาะสมกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุน นักลงทุนจะสามารถเริ่มลงทุนได้ต่อก็ต่อเมื่อนักลงทุนทำการลงทะเบียนและผ่านแบบประเมินความรู้ความเข้าใจในการลงทุนแล้ว





-resized.png)

