เพื่อเป็นการแนะนำธุรกิจและมุมมองของผู้ก่อตั้ง (คุณกฤษดา กฤตยากีรณ - ผู้ก่อตั้ง MuvMi) ก่อนการระดมทุนผ่าน Equity Crowdfunding กับ PeerPower เราจึงขอสัมภาษณ์ผู้บริหารเพื่อเปิดมุมมองที่ลึกขึ้นเกี่ยวกับตัวธุรกิจและวิสัยทัศน์
ขั้นตอนการสมัครเป็นนักลงทุนกับ PeerPower
Part 1: Building the Business - กว่าจะเป็น MuvMi
👉 สะท้อนเส้นทางการเริ่มต้นธุรกิจจาก Pain Point จริง ความตั้งใจ และวิธีคิดที่ต่อยอดเป็นบริการวันนี้
“ทุกด่านที่เราผ่าน มันท้าทายขึ้นเรื่อยๆ — แต่เรายังเดินต่อเพราะเรายังไม่ถึงภาพที่เราอยากเห็น”
ก่อนจะมาเริ่ม MuvMi คุณมีประสบการณ์หรือแรงบันดาลใจอะไรที่ทำให้ก้าวเข้าสู่โลกสตาร์ทอัพ?
จริงๆ แล้วมันเริ่มจาก Pain point ส่วนตัวเลยครับ ผมเป็นคนชอบรถนะ แต่ไม่ค่อยชอบขับเองในเวลารถติดเลยเลือกใช้ระบบขนส่งมวลชนแทนเพราะมันช่วยเลี่ยงปัญหานั้นได้ แต่พอใช้งานจริงกลับเจอปัญหาที่ ตอนจะ “ขึ้น” หรือ “ลง” จากระบบหลักมันไม่ค่อยสะดวก เช่น เดินไกล ไม่มีทางเลือก หรือบางทีก็ต้องพึ่งพามอเตอร์ไซค์หรือแท็กซี่ที่ราคาอาจจะสูงหรือไม่ปลอดภัย
ตรงนั้นแหละครับที่ผมรู้สึกว่ามันมี gap ของระบบอยู่ ก็เลยเริ่มคิดว่ามันน่าจะมีทางเลือกใหม่ที่เชื่อมระบบขนส่งหลักเข้ากับชีวิตคนเมืองได้ดีขึ้นและนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเริ่มต้น MuvMi ขึ้นมาครับ
จากประสบการณ์ที่ได้เห็น อะไรคือ pain point ที่ใหญ่ที่สุดของระบบขนส่งในเมืองไทย?
ผมคิดว่าปัญหาใหญ่คือ "ขาดทางเลือก" ครับ โซลูชันที่มีอยู่ตอนนี้มันค่อนข้างจำกัด โดยเฉพาะถ้าพูดถึงการเดินทางที่
- ราคาเข้าถึงได้
- ปลอดภัย
- และ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เรารู้สึกว่าคนเมืองยังไม่มีตัวเลือกที่ตอบโจทย์ครบใน 3 ด้านนี้พร้อมกัน และนั่นคือช่องว่างที่เราคิดว่า MuvMi จะสามารถเข้ามาเติมเต็มได้
“Shape the Future of Mobility” ที่ MuvMi ใช้ หมายถึงอะไรในมุมมองของคุณ?

สำหรับเรา “Shape the Future of Mobility” คือการ ออกแบบอนาคตของการเดินทางในเมือง ให้ดีขึ้น เรามุ่งไปที่ Urban Mobility โดยเฉพาะ เพราะเรามองว่า พฤติกรรมการเดินทางในเมืองกำลังเปลี่ยนไป เมื่อคนย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองมากขึ้น (Urbanization) การเดินทางก็สั้นลง ช่วงสั้นๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตประจำวัน
แต่ที่ผ่านมา ระบบขนส่งส่วนใหญ่กลับ ไม่ค่อยโฟกัสกับการเดินทางระยะสั้นเท่าที่ควร MuvMi เลยอยากเข้ามาเติมเต็มตรงนี้ โดยพัฒนาโมเดลที่ตอบโจทย์ว่า:
- จะทำยังไงให้ สะดวก
- จะทำยังไงให้ ราคาเข้าถึงได้
- จะทำยังไงให้ ปลอดภัย
- และจะทำยังไงให้ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราหมายถึงเมื่อพูดว่า “Shape the Future of Mobility”
MuvMi มองคู่แข่งในตลาดอย่างไร? และอะไรคือจุดแข็งที่ทำให้ MuvMi แตกต่าง?
เราไม่ค่อยมองตัวเองว่าเป็น “คู่แข่ง” โดยตรงกับใครครับ แต่มองว่าเราเป็น “อีกหนึ่งทางเลือกของการเดินทางในเมือง”
ถ้าถามว่าคู่แข่งจริงๆ ของเราคืออะไร ก็คือการใช้รถส่วนตัว เพราะสุดท้ายเราก็อยากเห็นคนหันมาใช้ขนส่งมวลชนและระบบสาธารณะมากขึ้น สิ่งที่เราพยายามทำคือเติมช่องว่างของการเดินทางในระบบเดิม เวลาคนใช้รถไฟฟ้าหรือขนส่งมวลชนเขามักจะมีทางเลือกแค่:
- เดิน
- ใช้วินมอเตอร์ไซค์
- หรือเรียกแท็กซี่
แต่มันยังไม่มีตัวเลือกที่ สะดวก ปลอดภัย ราคาจับต้องได้ และ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไปพร้อมกัน ซึ่งนั่นแหละคือจุดที่ MuvMi เข้ามาเติมเต็ม
จำนวนผู้ใช้งานหลักของ MuvMi คือใคร? และ Metric ไหนที่บอกว่าธุรกิจของคุณกำลังมาถูกทาง?
กลุ่มผู้ใช้งานหลักของ MuvMi จะเป็นคนที่ใช้บริการเป็นประจำทุกวัน (daily user) ส่วนใหญ่มักจะเป็นกลุ่มที่ ยังไม่มีรถส่วนตัว
- นักศึกษา
- คนเริ่มทำงาน (First Jobber) โดยเฉพาะในกลุ่ม ผู้หญิง ที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง ความปลอดภัย และ ราคาที่เข้าถึงได้
ในขณะที่ผู้ชายบางคนอาจเลือกใช้มอเตอร์ไซค์เป็นทางเลือก แต่ผู้หญิงจำนวนมากมองว่าทางเลือกแบบนั้น อาจไม่เหมาะกับตัวเอง ตอนนี้เรามี ผู้ใช้งานเฉลี่ยประมาณ 25,000–30,000 คนต่อวัน และตัวเลขนี้ยังคงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ Metric ที่เราดูไม่ใช่แค่ยอดผู้ใช้ แต่ยังรวมถึง:
- ฟีดแบ็กจากลูกค้า
- การที่ลูกค้ากลับมาใช้ซ้ำ
- การวัดว่าเราสร้าง impact ได้จริงไหม
- และท้ายที่สุดคือ ธุรกิจนี้สามารถเดินได้ในเชิงเศรษฐกิจ (profitability) หรือเปล่า
เราอยากรู้ว่า ผู้ใช้ให้คุณค่า (value) กับเรามากแค่ไหน นั่นแหละคือสิ่งที่บอกว่าเรามาถูกทางหรือยัง
ช่วงเวลาไหนในธุรกิจที่คุณรู้สึกว่าเป็นจุดท้าทายที่สุด และคุณผ่านมันมาได้อย่างไร?
ผมรู้สึกว่าความท้าทายมัน ไม่เคยหยุดครับ มันเหมือนกับการเล่นเกมที่พอเราผ่านด่านหนึ่งไปด่านถัดไปก็ยากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เรา “โต” ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกัน
สิ่งที่พาเราผ่านแต่ละด่านมาได้ ผมคิดว่าเป็นเพราะเราเป็นทีมที่ mission-driven เรามีภาพในหัวของจุดที่เราอยากไปให้ถึงและแม้วันนี้จะยังห่างจากจุดนั้นอยู่แต่มันคือแรงผลักให้เราสู้ต่อบางครั้งปัญหาที่เจอก็ไม่ได้มาจากภายนอก แต่มาจากการตัดสินใจของเราในอดีต ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไปก็คิดเหมือนกันว่า “ถ้าตอนนั้นเลือกอีกทาง มันอาจง่ายกว่านี้” แต่สุดท้ายมันก็คือกระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้เรารู้ว่า:
- ลิมิตของเราอยู่ตรงไหน
- เราจะรับมือกับมันยังไง
- และเราจะ push limit ตัวเองไปได้อีกแค่ไหน
แม้มันจะเหนื่อยและยาก แต่ก็มี ความสนุกในการแก้ปัญหา อยู่ตลอด เพราะเรายังอยากจะ “ไปให้ถึง” จุดที่ตั้งใจไว้จริงๆ
เล่าให้ฟังถึง Mission ของ MuvMi - ทำไมถึงมี Mission นี้?
Mission ของเรา คือการ “Shape the Future of Urban Mobility” หรือพูดง่ายๆ คือเราตั้งใจจะออกแบบการเดินทางของคนเมืองใหม่ให้ดีขึ้นกว่าเดิมในทุกมิติ โดยเฉพาะ 3 สิ่งที่เรายึดไว้เป็นแกนหลักเสมอ:
- ราคาเข้าถึงได้ (Affordability)
- ความปลอดภัย (Safety)
- ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Sustainability)
ทั้งหมดนี้เกิดจาก pain point ที่เราเจอจริงในชีวิตประจำวัน คือเวลาใช้ขนส่งมวลชน เราพบว่ามัน ยังไม่ตอบโจทย์การเดินทางระยะสั้น (Microtransit) ได้ดีพอ แม้ความสะดวก (Convenience) จะเป็นเรื่องพื้นฐานที่ต้องมีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ ท้าทายที่สุดคือการทำให้มัน “ทั้งสะดวก และราคาจับต้องได้” ซึ่งสองอย่างนี้มักจะขัดกันโดยธรรมชาติ
เราเลยตั้งเป้าว่า ถ้าแก้โจทย์นี้ได้ มันจะ unlock ตลาดใหม่มหาศาล เพราะคนจำนวนมากกำลังมองหาทางเลือกที่ตอบโจทย์นี้อยู่ อีกมุมหนึ่งคือ เรามองว่านี่คือความรับผิดชอบของเรา ในฐานะคนที่กำลังออกแบบอนาคตของการเดินทางในเมือง เราคุยกันในทีมอยู่เสมอว่า "เราต้องสร้างระบบที่เรากล้าให้ลูกเราใช้ในอนาคต" และนั่นหมายถึงมัน ต้องปลอดภัย และต้องไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เราคงรู้สึกตลกมาก ถ้าสุดท้าย solution ที่เราสร้างขึ้น กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้โลกแย่ลงกว่าเดิมครับ
รถ EV ไฟฟ้า 1 คันของ MuvMi สามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้อย่างไรบ้าง?

รายได้หลักของเรามาจาก การให้บริการรับส่งผู้โดยสาร เป็นหลักครับ แต่นอกจากนั้น รถไฟฟ้า 1 คันยังสามารถ ต่อยอดกลายเป็นแหล่งรายได้ในหลายรูปแบบ ได้อีกเยอะมาก ยกตัวอย่างเช่น:
- Moving Billboard:
รถของเราวิ่งอยู่ในเมืองตลอดเวลา จึงกลายเป็นพื้นที่โฆษณาเคลื่อนที่ (out-of-home media) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- รับส่งนักท่องเที่ยว / เช่าเหมาคัน:
บางพื้นที่ เราให้บริการในรูปแบบทัวร์ หรือเช่าเหมาคันสำหรับกลุ่มลูกค้าเฉพาะ
- ธุรกิจปล่อยเช่ารถสามล้อ:
เป็นโมเดลที่เรากำลังทดลอง ซึ่งเปิดโอกาสให้คนขับสามารถเช่ารถของเราไปใช้งานโดยตรง
พูดง่ายๆ ว่า รถ 1 คันของเราไม่ใช่แค่ยานพาหนะ แต่เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถสร้าง Business Add-On ได้หลายมิติ เพราะสุดท้ายแล้ว “การเดินทาง” มันไม่ใช่แค่พาคนจากจุด A ไป B แต่มันคือพื้นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมืองและสร้างโอกาสใหม่ๆ ตามมาได้อีกมากมายครับ
Part 2: Innovation & Technology (AI, Data, Platform) - เทคโนโลยีเบื้องหลัง MuvMi
👉 เจาะลึกระบบ AI, แพลตฟอร์ม, ระบบ EV และการจัดการฟลีทรถ
“AI ไม่ใช่แค่ระบบจัดการเส้นทาง — แต่มันคืออาวุธที่ทำให้เราสู้ในเกมธุรกิจได้”
ธุรกิจนี้ต้องใช้ทรัพยากรหลายด้าน – อะไรคือสิ่งที่คุณจัดลำดับให้สำคัญก่อน และจัดการกับความซับซ้อนนี้อย่างไร?
จริงๆ แล้วแนวทางของเราคือเริ่มจากการมอง customer journey เป็นหลัก เราคิดแบบง่ายๆ ว่าถ้าอยากให้ผู้ใช้งานเรียกรถ แล้วรถมารับ แล้วไปส่งให้ถึงที่ เราก็เริ่มจากการวางลำดับตามสิ่งนั้นเลยครับ
อย่างแรกที่ทำคือ เริ่มจากการสร้างแอป เพื่อใช้กับรถธรรมดาก่อน แล้วพอระบบเริ่มนิ่ง เราก็ขยับไปสู่ การใช้รถไฟฟ้า จากนั้นก็ค่อยไปดูเรื่อง จุดชาร์จไฟ และระบบหลังบ้านต่างๆ ที่ช่วยให้บริการมันต่อเนื่องได้ดีขึ้น ทุกอย่างเรียงตามลำดับของ user journey เลยครับ ส่วนเรื่องการจัดการกับความซับซ้อน เราก็เริ่มจาก ไม่คิดอะไรซับซ้อนเกินไป คือเจออะไรก็แก้เป็นจุดๆ ไปทีละเรื่อง แต่ในขณะเดียวกัน ทีมของเราก็มี คนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ไม่ว่าจะเป็นคนที่ดูแลแอป หรือคนที่ดูแลเรื่องรถไฟฟ้า
แน่นอนว่ามันมี challenge อยู่ตลอดแต่เราก็โชคดีที่มีทีมที่พร้อมจะลงมือและสามารถ handle เรื่องเหล่านี้ได้ครับ
MuvMi ไม่ใช่แค่รถรับจ้างแต่เป็นเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม – เล่าให้ฟังถึงระบบเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังและประโยชน์ของมัน?
จริงๆ แล้วคนที่ใช้งาน MuvMi อาจจะไม่รู้สึกเลยว่ามีเทคโนโลยีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลัง แต่ในความเป็นจริงการที่เราสามารถให้บริการได้อย่างสะดวกสบายในขณะที่ยังมีราคาที่เข้าถึงได้ มันเกิดจากเทคโนโลยีหลักๆ หลายตัวที่ทำงานอยู่ตลอดเวลา
โดยเทคโนโลยีหลักของ MuvMi มีอยู่ 3 ส่วนสำคัญ ที่ทำให้ระบบทั้งหมดขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
1. AI Algorithm สำหรับ Pooling
เป็นระบบที่ใช้ AI มาช่วยจัดกลุ่มผู้โดยสารที่มีเส้นทางใกล้เคียงกันให้ขึ้นรถคันเดียวกันซึ่งตรงนี้เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ต้นทุนต่อคนต่ำลงและสามารถให้บริการในราคาที่จับต้องได้โดยไม่ลดความสะดวกของผู้ใช้งาน
2. Fleet Management System
เทคโนโลยีที่เชื่อมต่อกับรถทุกคันในระบบ ตอนนี้ MuvMi มีรถวิ่งอยู่กว่า 800 คัน ซึ่งทุกคันทำงานอยู่ตลอดเวลาเหมือนมี “พนักงาน” กระจายอยู่ทั่วเมือง แต่ต่างจากโรงงานที่เรามองเห็นพนักงานทำงานตรงหน้า ระบบของเราใช้ข้อมูลจากรถแต่ละคันมาวิเคราะห์แบบ real-time เพื่อให้รู้ว่าการให้บริการนั้นเป็นไปตามที่ควรเป็นหรือไม่ และช่วยจัดการ fleet ได้แบบอัตโนมัติแม้จะ “มองไม่เห็น” ก็ตาม
3. เทคโนโลยีในตัวรถ EV
เราได้ร่วมพัฒนา (JV) กับทาง Thairung เพื่อสร้างรถไฟฟ้าที่เหมาะกับการใช้งานจริงของเราโดยในตัวรถจะมีระบบ Vehicle Control Unit ที่ลิงก์เข้ากับระบบ fleet อีกที ซึ่งช่วยในหลายด้าน เช่น:
- ควบคุมความเร็ว
- ตรวจสอบความปลอดภัย
- ป้องกันการสูญหายของตัวรถ
- และยังเปิดโอกาสให้เราขยายความสามารถต่อยอดในอนาคตได้อีก
สุดท้ายแม้ผู้ใช้จะไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมดนี้แต่ทั้งหมดคือระบบเบื้องหลังที่ช่วยให้ MuvMi สามารถให้บริการรถ EV จำนวนมากได้อย่างราบรื่นในทุกวัน และนี่คือสิ่งที่ทำให้ MuvMi เป็นมากกว่ารถรับจ้างครับ
จากเทรนด์การเติบโตของ AI, MuvMi นำ AI มาปรับใช้อย่างไรในส่วนต่างๆ ของการทำงาน เช่น ด้านปฏิบัติการ การจัดสรรทรัพยากร หรือ customer service?
AI เป็นเทคโนโลยีที่เราเริ่มใช้มากขึ้นเรื่อยๆ ครับ โดยเฉพาะในส่วนของ การจัดเส้นทาง การจัดกลุ่มผู้โดยสาร และการคาดการณ์เวลาเดินทางให้แม่นยำขึ้น แม้ว่าตอนนี้อาจยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่เราก็เห็นว่า AI เข้ามาช่วยให้หลายอย่างดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่น่าทึ่งมากคือ เราใช้ AI มาช่วย รีวิวคอมเมนต์จากลูกค้าแล้วสรุปออกมาเป็น insight ที่ actionable ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเรายังใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมการขับขี่ของคนขับแต่ละคนและมันสามารถ detect ความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่อุบัติเหตุได้ล่วงหน้า ซึ่งข้อมูลพวกนี้สามารถนำมา correlate กับข้อมูลอุบัติเหตุจริงและใช้เพื่อวางแผนปรับปรุง safety ได้เลย
เรากำลังขยายการใช้ AI ไปยังฝั่ง customer service ด้วย ว่าจะทำอย่างไรให้ระบบตอบคำถามหรือจัดการปัญหาต่างๆ ได้อัตโนมัติมากขึ้น ในระดับทีมภายในเองเราเริ่มเห็นการปรับตัวเยอะมาก เช่น
- ทีม product ใช้ AI ช่วยเขียนโค้ด
- ทีมกราฟิกก็ใช้ AI ทำ visual
- ฝั่ง legal หรือ business ก็เริ่มใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยงาน
พูดง่ายๆ ก็คือ ตอนนี้ถ้าคุณจะออกไปทำสงครามแล้วคนอื่นถือมีดแต่คุณมี AI อยู่ในมือ — มันก็เหมือนคุณถือปืนกล ใครใช้เป็นก็ได้เปรียบแบบชัดเจนครับ
ในอีก 5 ปีข้างหน้า คุณคิดว่าพฤติกรรมการเดินทางในเมืองจะเปลี่ยนไปแค่ไหน? และ AI จะเข้ามามีบทบาทมากน้อยแค่ไหน?
ส่วนตัวผมมองว่าในอีก 5 ปี คนจะหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนมากขึ้นครับ เพราะ network ของระบบขนส่งกำลังขยายออกไปเรื่อยๆ เมื่อ coverage ดีขึ้น คนก็จะมีทางเลือกในการเดินทางมากขึ้นและพอระบบหลักขยาย ระบบ feeder อย่าง MuvMi ก็จะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเพราะมันช่วยเชื่อมการเดินทางในช่วงต้นทาง-ปลายทาง (first-mile/last-mile) ให้สมบูรณ์
แต่ถ้ามองในมิติที่ลึกกว่านั้น โดยเฉพาะในบริบทของเมืองไทยหรือใน Southeast Asia ผมคิดว่าจุดเปลี่ยนที่น่าจับตามองที่สุดคือการที่ “autonomous vehicle” จะกลายเป็นสิ่งที่ใช้งานได้จริงเชิงพาณิชย์ ตอนนี้เทคโนโลยีมันเข้าใกล้จุดนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อรถขับเคลื่อนอัตโนมัติสามารถใช้งานได้จริงมันจะ เปลี่ยน cost structure ทั้งระบบเลยครับ ต้นทุนลดลง ราคาบริการก็จะเปลี่ยนตาม และมันจะทำให้เกิดรูปแบบบริการใหม่ๆ อีกมาก
AI ก็มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้เลย เพราะมันเป็นตัวที่ทำให้รถสามารถ ตัดสินใจและเรียนรู้ได้เอง ซึ่งแม้ตอนนี้จะยังมีบางเคสที่แก้ไม่ตก แต่ถ้าเทียบกับเมื่อไม่กี่ปีก่อน progress ถือว่าเร็วมากจริงๆ อย่าง Waymo ในอเมริกาก็เริ่มให้บริการจริงแล้ว จีนเองก็มีรถลักษณะนี้วิ่งอยู่เต็มเมือง เพื่อนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ก็เคยแชร์วิดีโอให้ดู ซึ่งแม้จะยังมีจุดที่ต้องแก้ แต่โดยรวมมันใกล้ความจริงเข้าไปเรื่อยๆ ผมเชื่อว่า ภายใน 5 ปีนี้ บางประเทศน่าจะสามารถใช้งานรถอัตโนมัติในเชิงพาณิชย์ได้แบบเต็มรูปแบบ ส่วนในไทยหรือประเทศอื่นๆ ในอาเซียน อาจจะช้ากว่าหน่อย แต่ก็มาแน่นอนครับ
จากการที่บริษัททำงานแบบ Data-driven มีข้อมูลพฤติกรรมการเดินทางของคนไทยอะไรที่น่าสนใจที่สามารถแชร์ได้บ้าง? และข้อมูลนี้ส่งผลกับการวางกลยุทธ์ของบริษัทอย่างไร?
แน่นอนครับเราดูพฤติกรรมของผู้ใช้งานจากข้อมูลจริงตลอดเวลา และสิ่งที่น่าสนใจคือบางพฤติกรรมเราก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนจนกระทั่งได้เห็นจาก data จริงๆ อย่างหนึ่งที่เราสังเกตได้คือ MuvMi อาจทำให้คน "เดินน้อยลง" ในบางกรณี ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เราตั้งใจ เพราะบางคนเรียกรถในระยะทางที่สั้นมากจนเรายังแอบสงสัยว่า "ทำไมไม่เดิน?"
นอกจากนี้ เรายังเห็น pattern จากข้อมูลที่เชื่อมโยงกับพฤติกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม ได้ชัด เช่น:
- ช่วงศุกร์สิ้นเดือนมีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- ช่วงที่เศรษฐกิจดีคนออกไปใช้บริการกันมากขึ้นและกลุ่มผู้โดยสารใหญ่ขึ้น เช่น ไปกินข้าวหรือเดินทางพร้อมกันหลายคน
- แต่พอช่วงเศรษฐกิจชะลอ เราเห็น usage ลดลง และ group size เล็กลงตาม
- หรืออย่างช่วงโรงเรียนเปิด-ปิดเทอมก็เห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนในรูปแบบการเดินทาง
ข้อมูลพวกนี้มีผลโดยตรงกับการวางกลยุทธ์ของเราทั้งในแง่การวางแผนเส้นทาง ปรับจำนวนรถในบางช่วงเวลา หรือแม้แต่การออกโปรโมชั่นที่สอดคล้องกับพฤติกรรมจริงของผู้ใช้งาน
จากข้อมูลของผู้ใช้งาน MuvMi ที่พบว่า Group size ลดลง — บริษัทนำข้อมูลนี้มาปรับใช้อย่างไรบ้าง? (เช่น การรวมพื้นที่อารีย์กับอนุสาวรีย์ ฯลฯ)
เราพยายามดูว่าเวลาขนาดกลุ่มผู้โดยสาร (group size) เปลี่ยนไป มันเป็นเพราะอะไร — เป็นภาพใหญ่ระดับ แมโคร อย่างเศรษฐกิจโดยรวม? หรือเป็นภาพ ไมโคร จากปัจจัยเฉพาะพื้นที่หรือแค่บางช่วงเวลา?
เมื่อเราเข้าใจที่มาของพฤติกรรม เราก็จะพยายามปรับบริการให้สอดคล้องกับ user behavior ให้มากที่สุด เช่น ถ้าเห็นว่าช่วงนี้ group size ลดลงในบางพื้นที่แต่เพิ่มขึ้นในวันอื่นหรือช่วงเวลาอื่นเราก็จะปรับทั้งในแง่ จำนวนรถ, การวางเส้นทาง, รวมถึงโปรโมชั่นเพื่อให้เหมาะกับลักษณะการใช้งานจริงของคนในช่วงนั้น
ตัวอย่างเช่น การรวมพื้นที่อารีย์กับอนุสาวรีย์ก็เป็นหนึ่งในแนวทางที่เราทดลองเพื่อให้การเดินทางครอบคลุมขึ้นและเพิ่มโอกาสในการจับกลุ่มผู้โดยสารร่วมเส้นทางให้มากขึ้น
เป้าหมายของเราคือตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงได้แบบยืดหยุ่นและไม่ยึดติดกับ pattern เดิมๆ เพราะพฤติกรรมของผู้ใช้มันเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา — เราก็ต้องเปลี่ยนตามให้ทันครับ
Part 3: ESG and Urban Impact - ความยั่งยืนกับเมืองในอนาคต
👉 พูดถึง ESG ไม่ใช่แค่คำสวยหรู แต่คือแกนธุรกิจ, Carbon, Smart City, Community Impact
“เราไม่ได้ทำ ESG เพื่อโชว์ แต่เพราะมันคือสิ่งที่ควรทำ และมันตอบโจทย์ธุรกิจจริงๆ”
หลายคนมองว่า ESG เป็นเพียง buzzword หรือคำโฆษณาทางการตลาด — คุณคิดเห็นอย่างไรในมุมของผู้ประกอบการ?
ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับว่าผู้ประกอบการมอง ESG เป็น “เรื่องแยก” หรือ “เรื่องเดียวกัน” กับธุรกิจครับ ถ้ามองว่า ESG เป็นสิ่งที่ต้องเอามาใส่ให้มันดูเข้ากับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ มันก็จะกลายเป็นแค่ buzzword เพราะเราพยายาม "ดัด" ให้มัน fit
แต่ถ้ามองว่า ESG คือส่วนหนึ่งของธุรกิจตั้งแต่แรก มันก็จะไม่ใช่ buzzword แต่มันคือสิ่งที่เราทำอยู่จริงๆ อย่าง MuvMi เอง เราไม่ได้มองว่า ESG คือเรื่องที่ต้อง “ติ๊กถูก” เพื่อโชว์ว่าเราทำแต่เรามองว่า มันคือแกนของธุรกิจที่ควรตอบทั้ง ESG และผลตอบแทนทางธุรกิจ (return on business) ไปพร้อมกัน
หนึ่งใน mission ของเราตั้งแต่ก่อนที่ ESG จะกลายเป็น buzzword ก็คือ "เราจะทำยังไงให้การเดินทางมัน cleaner" และนั่นคือเหตุผลที่เราเลือกใช้รถไฟฟ้า ทีนี้บางคนอาจสงสัยว่าใช้ EV แล้วต้นทุนจะแพงขึ้นไหม? จริงๆ ไม่เลยครับเพราะถ้ามองในมุม Total Cost of Ownership หรือต้นทุนรวมทั้งอายุการใช้งาน “รถไฟฟ้ายิ่งนานยิ่งถูกลง” โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับรถแก๊สหรือรถน้ำมันที่ราคามักจะถูก “subsidize” อยู่เบื้องหลัง
ในขณะที่ EV มีแนวโน้มถูกลงเรื่อยๆ จากต้นทุนแบตเตอรี่ที่ลดลงแต่รถน้ำมันกลับไม่ได้มีทิศทางเดียวกัน และสุดท้ายเชื้อเพลิงฟอสซิลก็มีข้อจำกัดในตัวมันเองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเรามองว่า ESG ไม่ใช่เรื่องแยกจากธุรกิจ แต่มันคือสิ่งที่ควรทำ และยังสามารถตอบโจทย์ทางเศรษฐกิจไปพร้อมกันได้ด้วยครับ
MuvMi สามารถลดคาร์บอนได้เท่าไหร่แล้วในปัจจุบัน? และตัวเลขนี้มีความหมายอย่างไรกับวิสัยทัศน์ธุรกิจของคุณ?
ตอนนี้ MuvMi ได้ ขึ้นทะเบียนกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) ภายใต้โครงการ T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) ซึ่งปัจจุบันเราสามารถลดการปล่อยคาร์บอนไปแล้วกว่า 4,000 ตัน ครับ
ตัวเลขนี้สะท้อนว่าสิ่งที่เราทำ ไม่ได้ตอบแค่ด้านธุรกิจ (economics) อย่างเดียว แต่ยังมีผลกระทบทางบวกด้าน ESG ที่ชัดเจนและวัดผลได้จริงด้วย ในขณะเดียวกันเราเองก็มองข้อมูลนี้ในเชิงเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นใน ecosystem
เราสนใจว่าเวลาองค์กรอื่นโชว์ตัวเลขพวกนี้ เขาอยู่ตรงไหนของ ranking แล้วเราอยู่ตรงไหน? และเรายังสามารถทำอะไรได้อีกบ้างเพื่อเพิ่ม impact ด้านสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น เพราะสุดท้ายแล้วเราไม่ได้มองว่าการลดคาร์บอนคือแค่ "ตัวเลขโชว์" แต่มันคือหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่บอกว่า ธุรกิจแบบ MuvMi กำลังเดินไปในทางที่ถูกต้อง ทั้งในมุมของสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ
คุณมองว่าเป้าหมายทางเศรษฐกิจ เช่น BCG Economy, Carbon Credit หรือ Smart Cities จะสามารถช่วยเร่งการเติบโตของธุรกิจได้อย่างไร?
สิ่งที่เราทำคือการพยายาม shape urban mobility หรือการเดินทางของคนในเมืองครับเพราะฉะนั้นเวลามองไปข้างหน้า เราไม่ได้มองแค่เรื่อง “ตอนนี้” แต่มองว่าอนาคตมันจะเดินไปทางไหนผมเชื่อว่าแนวทางอย่าง BCG Economy (Bio-Circular-Green Economy), Carbon Credit, หรือแนวคิด Smart Cities จะกลายเป็น “เครื่องมือ” สำคัญที่จะถูกหยิบมาใช้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตโดยไม่ทิ้งสิ่งแวดล้อมไว้ข้างหลัง
โดยเฉพาะเรื่อง Carbon Credit ผมมองว่ามันจะกลายเป็นกลไกสำคัญในระดับโลก ที่จะช่วย “ถ่วงดุล” หรือสร้าง balance of power ระหว่างประเทศ เพราะทุกวันนี้มันมีช่องว่างระหว่างประเทศที่ขายของถูกแต่ปล่อยคาร์บอนสูงกับประเทศที่ผลิตของอย่างยั่งยืนแต่ต้นทุนแพงกว่าถ้าเราไม่มีเครื่องมืออย่าง Carbon Credit หรือ Carbon Tax เข้ามา โลกก็จะกลายเป็นสนามแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมและสุดท้ายมันก็จะไม่ใช่แค่ประเทศใดประเทศหนึ่งที่เจ็บแต่มันอาจพังทั้งระบบ
เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่า โครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ๆ เหล่านี้จะไม่ใช่แค่คำสวยหรูอีกต่อไป แต่มันคือสิ่งที่จำเป็นและจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนธุรกิจอย่าง MuvMi และธุรกิจสีเขียวในภาพรวมครับ
MuvMi มีวิธีคิดอย่างไรในการบาลานซ์เรื่อง ESG กับเป้าหมายด้านการเติบโตทางธุรกิจและการทำกำไร?
จริงๆ ผมอาจไม่ใช้คำว่า "บาลานซ์" ด้วยซ้ำครับ เพราะสิ่งที่เราโฟกัสคือ "จะทำยังไงให้ ESG กับเศรษฐกิจไปด้วยกันได้ตั้งแต่แรก" ไม่ใช่เอามาชั่งน้ำหนักทีหลัง
อย่างที่ผมพูดไปก่อนหน้านี้ เรามองว่าการทำธุรกิจให้ยั่งยืนต้อง make sense ในทั้งสองด้านไม่ใช่แค่ทำ ESG เพื่อให้ดูดีแต่ต้องตอบโจทย์เชิงเศรษฐกิจด้วย ยกตัวอย่างเช่น:
- MuvMi ใช้รถ EV เพราะมันช่วยลดคาร์บอนได้จริง
แต่ในขณะเดียวกัน ยิ่งเราใช้ EV มากขึ้น ต้นทุนระยะยาวยิ่งลดลง มันคือจุดที่ ESG กับ economics เดินไปในทางเดียวกัน หรือในมุมของระบบ การแชร์การเดินทาง (ride pooling) ยิ่งคนแชร์มากเท่าไหร่ เราก็สามารถใช้รถคันเดียวให้เกิดประโยชน์สูงสุด
- จากเดิมขับ 1 กม. รับคนเดียว → กลายเป็นรับ 2-3 คน
- ผลคือ ต้นทุนต่อหัวต่ำลง และการปล่อยคาร์บอนต่อคนก็น้อยลงด้วย
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำ มันไม่ได้เป็นลักษณะของการ "วิ่งเยอะ = กำไรดี แต่สิ่งแวดล้อมแย่" ตรงกันข้ามเลยครับ เราพยายามออกแบบระบบให้ทั้ง ESG และ Business เติบโตไปในทิศทางเดียวกัน ถ้าเมื่อไหร่ที่สองอย่างนี้ขัดกัน เมื่อนั้นแหละ ESG จะกลายเป็นแค่ buzzword ซึ่งเราไม่อยากให้เป็นแบบนั้น
จากการที่ MuvMi เป็น Ecosystem ขนาดใหญ่ - มีเคสไหนที่คุณรู้สึกว่า MuvMi ไม่ได้เปลี่ยนแค่ “การเดินทาง” แต่เปลี่ยน “ชีวิต” ของคนๆ หนึ่ง เช่น ผู้ใช้งาน คนขับ หรือชุมชน?

ผมคิดว่าเรายังไม่ถือว่าเป็น "ระบบใหญ่" ขนาดนั้นนะครับ แต่เรารู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนและกำลังพยายามช่วยขับเคลื่อนในแบบที่เราทำได้ สิ่งที่เราพยายามโฟกัสคือทำอย่างไรให้การเดินทางในพื้นที่ต่างๆ ดีขึ้นและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่นั้นๆ ไปพร้อมกัน
โดยเฉพาะกับร้านเล็กๆ หรือธุรกิจที่ไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่ ไม่มีที่จอดรถหรือไม่ได้อยู่ใกล้ BTS MuvMi สามารถช่วยให้คนเข้าถึงร้านเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นเราไม่ได้แค่ขับเคลื่อน "คน" อย่างเดียว แต่เรากำลังพยายามขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับชุมชนไปด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น บริการอย่าง โฆษณาในรถที่เราทำอยู่ก็พยายามเชื่อมโยงกับ local business โดยตรงเพื่อให้เป็นแพลตฟอร์มที่ไม่ได้แค่สื่อสารแต่ช่วย “กระจาย” โอกาสให้กับผู้ประกอบการรายเล็กที่อาจไม่สามารถเข้าถึงสื่อขนาดใหญ่ได้
ทั้งหมดนี้เราคิดว่ามันเชื่อมกันหมด - การเดินทาง การโฆษณา การเข้าถึง และเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น เราแค่พยายามทำให้สิ่งเหล่านี้ “ไม่ขัดกัน” และเดินไปในทิศทางเดียวกันให้ได้ครับ
คนมักจะมองว่าคนขับ MuvMi มีแต่คุณลุงคุณป้าที่น่ารักมาขับ เรื่องนี้มีที่มาอย่างไร?
จริงๆ แล้วสิ่งนี้เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของสังคมครับ โดยเฉพาะในเรื่อง Aging Society ตอนที่เรารับสมัครพนักงานขับรถเราเริ่มสังเกตว่ามีผู้สมัครจำนวนไม่น้อยที่เป็นคนวัยเกษียณหรือใกล้เกษียณเข้ามา บางคนเคยทำงานมาแล้วหลายปีและเมื่อรีไทร์ออกมาก็พบว่ายังมีพลังยังอยากมีส่วนร่วมกับสังคม
หลายคนไม่ได้มาขับรถเพราะเรื่องเงินเป็นหลักแต่เพราะอยากมีอะไรทำ อยากรู้สึกว่าตัวเองยังได้ “contribute” ให้กับชุมชนรอบตัว จากตรงนี้มันจึงกลายเป็นกลุ่มพนักงานขับรถอีก segment หนึ่งของ MuvMi ที่มีความพิเศษในตัวเอง คนกลุ่มนี้น่ารัก อัธยาศัยดี และสร้างบรรยากาศอบอุ่นให้กับผู้โดยสารได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ในช่วงแรกเราก็มีคำถามเหมือนกันว่าจะดูแลหรือเทรนกลุ่มนี้อย่างไรให้เหมาะสม แต่เราก็พยายามปรับระบบเทรนนิ่ง และกระบวนการต่างๆ ให้เข้ากับลักษณะของคนกลุ่มนี้มากขึ้น เช่น
- ทำให้เข้าใจง่าย
- ไม่ใช้เทคโนโลยีซับซ้อนเกินไป
- และสร้างสภาพแวดล้อมที่เขารู้สึกว่าสามารถทำงานได้อย่างมั่นใจ
สุดท้ายมันก็กลายเป็น “เอกลักษณ์เล็กๆ” ของ MuvMi ไปโดยไม่รู้ตัว ที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่า“นั่ง MuvMi แล้วรู้สึกเหมือนมีคุณลุงคุณป้าดูแลอยู่” ซึ่งเราก็รู้สึกดีใจที่ได้เป็นพื้นที่แบบนั้นครับ
Part 4: Startup Playbook - โอกาสทางธุรกิจในไทยและอาเซียน
👉 ขยายจากกรุงเทพฯ สู่ต่างจังหวัด และประเทศอื่นๆ ในอาเซียน พร้อมทิศทางอนาคต
“เราเริ่มจากกรุงเทพฯ แต่เป้าหมายคืออาเซียน — เพราะโครงสร้างปัญหาคล้ายกัน และโอกาสมันใหญ่มาก”
หลักการทำงานหรือวัฒนธรรมองค์กรแบบไหนที่ทีม MuvMi ทุกคนยึดถือ?
เรามี Core Value หลักอยู่ 5 ข้อครับ แต่ถ้าจะหยิบมาพูดในวันนี้ ขอยกมาเป็นข้อที่เราให้ความสำคัญมากๆ หนึ่งในนั้นคือเรื่อง User First
หลายคนพอได้ยินคำว่า “User First” ก็จะนึกถึงลูกค้าก่อนเลย ซึ่งแน่นอนว่ามันคือจุดเริ่มต้นที่ดีแต่ความหมายที่เราต้องการจริงๆ มันลึกกว่านั้นครับ
“User” ในความหมายของเรา ไม่ได้จำกัดแค่ผู้โดยสาร แต่รวมถึงทุกคนที่เรา interact ด้วย ไม่ว่าจะเป็นพนักงานขับรถ เพื่อนร่วมทีมหรือแม้แต่คนในองค์กร เพราะฉะนั้นเวลาทำงานเราอยากให้คิดเสมอว่า “ฝั่งตรงข้าม” ต้องการอะไรและเราจะเข้าใจเขาจริงๆ ได้ยังไง
ที่เรายังเรียก core value นี้ว่า work in progress ก็เพราะว่าเรายังต้องฝึกฝนกันอยู่ครับ ไม่ใช่แค่คิดแทน user ว่าเขาน่าจะคิดยังไง แต่ต้องลงไปคุย ลงไปดู ลงไปฟัง เพื่อให้ได้ insight จากของจริงจริงๆ เพราะเราเชื่อว่าถ้าเข้าใจเขาจริงๆ เราถึงจะออกแบบสิ่งที่ดีสำหรับเขาได้จริงๆ เช่นกัน
คุณเป็น CEO สไตล์ไหน? เช่น ทุ่มเทให้บริษัททุกเวลา ดูรายละเอียดทุกชิ้น หรือเน้นมอบหมายงาน?

ถ้าจะตอบตรงๆ ก็คงต้องแยกเป็น “แบบที่เป็นอยู่” กับ “แบบที่อยากเป็น” ครับ ตอนนี้ผมยังเป็นสไตล์ที่เรียกว่า ลงมือทำเองเยอะพอสมควร คือเป็น executor ที่ยังลุยเองอยู่มากในหลายๆ เรื่อง เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เราทำมันเวิร์คจริง และพาองค์กรไปต่อได้
แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็อยากจะเปลี่ยนบทบาทของตัวเองมากขึ้น ไปในทางของการ empower ทีม ให้เขาได้ลุยและเติบโตได้เต็มที่มากกว่านี้ เพราะจริงๆ แล้วทีมของเรามีความสามารถมากนะครับ เพียงแต่บางเรื่องอาจยังติดที่ผมเข้าไปเยอะไปหน่อย
สิ่งที่อยากทำมากขึ้นคือการให้ space กับทีม พร้อมๆ กับการ coach และ support อยู่ข้างหลัง ซึ่งเชื่อว่าถ้าเราทำตรงนี้ได้ดี ทีมจะยิ่งแข็งแรงและองค์กรจะไปได้ไกลกว่าที่เราทำคนเดียวแน่นอนครับ
คุณเห็นด้วยหรือไม่ว่าการหา Co-founder ที่เหมาะสมคือเรื่องสำคัญที่สุดในการเริ่มต้นธุรกิจ? แล้วอะไรทำให้คุณมั่นใจในทีมร่วมก่อตั้งของ MuvMi?
ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากเลยครับ เพราะเวลาทำธุรกิจมันมีปัญหาและความท้าทายใหม่ๆ เข้ามาตลอดเหมือนเล่นเกมที่ด่านมันยากขึ้นเรื่อยๆ การมีคนที่ลุยมาด้วยกันตั้งแต่ต้นมันช่วยให้เราผ่านอะไรพวกนั้นไปได้จริงๆ
บางทีเราก็ไม่ได้ต้องการแค่คนที่เก่งนะครับแต่ต้องการ "คนที่นั่งซวยด้วยกัน" อยู่ข้างๆ คือเวลาหนึ่งคนเครียดอีกคนอาจจะไม่เครียดแล้วก็ช่วยกันประคองบาลานซ์กันได้ซึ่งมันสำคัญมากในระยะยาว
ผมว่าเราโชคดีที่ founding team ของ MuvMi รู้จักกันมาก่อนระดับหนึ่ง เรามี connection กันอยู่แล้ว ทำให้เข้าใจกันและเชื่อใจกันได้ในหลายจังหวะสำคัญซึ่งพอเวลาผ่านมาเราก็เห็นเลยว่าความสัมพันธ์กับ co-founder ที่ดีไม่ได้แค่ช่วยให้ทำงานได้แต่ช่วยให้เดินต่อได้ในวันที่มันยากที่สุดด้วยครับ
บริษัทมีพันธมิตรทางการค้าที่มีชื่อเสียง เช่น Banpu, Thairung, NIA, PlanB - คุณมีวิธีหา Partner ที่ถูกต้องอย่างไร และอะไรทำให้ Partner เหล่านี้เชื่อในตัวบริษัท?
จริงๆ แล้วต้องบอกว่าพาร์ทเนอร์เหล่านี้คือคนที่ “ให้โอกาสเรา” ก่อนเลยครับ เราไม่ได้มองว่าเราไปเลือกเขา แต่เขาเป็นฝ่ายที่เลือกเรา ซึ่งเรารู้สึกขอบคุณมากแต่อีกด้านหนึ่งเราก็มีการมองอยู่เสมอว่าใครคือ “strategic partner” ที่เราคิดว่าน่าจะมี synergy กับเรา แล้วเราก็พยายาม approach ไปในจังหวะที่เหมาะสม
พาร์ทเนอร์แต่ละรายมีจุดแข็งที่สอดคล้องกับสิ่งที่ MuvMi ทำ เช่น
- Banpu ที่สนับสนุนในเรื่อง พลังงานและความยั่งยืน
- Thairung ที่เราทำงานร่วมกันในด้าน เทคโนโลยียานยนต์และตัวรถ EV
- Plan B ที่เป็นเจ้าใหญ่ด้าน โฆษณาและสื่อ ซึ่งเปิดโอกาสให้เราเข้าไปทำโปรเจกต์ร่วมกัน
- หรืออย่าง NIA ก็มีบทบาทในเรื่องการสนับสนุน innovation ตั้งแต่ช่วงแรกๆ
สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เราสามารถ “ไปต่อได้ไกลกว่าที่เราทำเองลำพัง” ถ้าไม่มีพาร์ทเนอร์เหล่านี้เราอาจไปได้ไม่ถึงจุดที่เป็นอยู่ในวันนี้ครับ
จากประสบการณ์ตรง คุณยังเห็นโอกาสของสตาร์ทอัพไทยหรือไม่? แล้วอะไรคือความท้าทายที่ใหญ่ที่สุด?
ผมว่า Startup มันมีความท้าทายไม่ว่าคุณจะทำที่ประเทศไหนนะครับ แต่ถ้าพูดถึงในบริบทของประเทศไทยสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกค่อนข้างกังวลคือ “ความไม่ต่อเนื่อง” คือถ้ามองไปรอบๆ ตอนนี้เหลือเพื่อนๆ startup ที่ลุยมาด้วยกันไม่กี่เจ้าแล้วและที่น่าห่วงคือไม่ค่อยเห็น startup รุ่นใหม่ๆ เข้ามาเท่าที่ควร
ในมุมของผม ถ้าจะสร้าง ecosystem ที่แข็งแรง มันต้องใช้ “จิ๊กซอว์หลายชิ้น” และต้องสร้างอย่างต่อเนื่อง มันไม่ใช่สิ่งที่จะทำแค่ครั้งเดียวแล้วจบ ตอนนี้สิ่งที่เราเห็นชัดคือ ecosystem ของ startup ไทยยังขาด “แรงต่อเนื่อง” ในการผลักดันให้ระบบมันโตไปได้จริงๆ - ทั้งในมุมของคนทำงานเอง พาร์ทเนอร์ และผู้สนับสนุนรอบข้าง
แล้ว MuvMi จัดการกับความท้าทายของการขาด ecosystem หรือการสนับสนุนในระบบสตาร์ทอัพไทยอย่างไร?
ผมว่าความท้าทายแบบนี้มันเป็นส่วนหนึ่งของการเป็น entrepreneur อยู่แล้วนะครับ คือมันเหมือนกับว่าเราพยายามจะทำสิ่งใหญ่โดยที่บางครั้งก็ "จับเสือมือเปล่า" ในแง่ที่ resource หรือระบบสนับสนุนรอบตัวอาจจะยังไม่ได้พร้อมหรือเยอะเท่าที่ควร
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำคือมองให้ชัดว่าเรามีอะไรอยู่ในมือแล้วพยายามใช้สิ่งนั้นให้ดีที่สุด ในขณะเดียวกันเราก็ต้องเปิดมุมมองให้กว้าง คอย explore ตัวเลือกใหม่ๆ ว่ามีอะไรที่เรายังขาดมีมุมไหนที่เรายังไม่ได้ลอง
สุดท้ายมันคือ mindset แบบว่า “เราจะไปให้ถึงเป้าหมายด้วยสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ให้ได้ก่อน” แล้วค่อยๆ ขยับไปเรื่อยๆ แทนที่จะรอให้ทุกอย่างพร้อมครับ
Part 5: Vision & Scalability - วิธีคิดของผู้ก่อตั้ง

👉 วิสัยทัศน์, สไตล์การเป็น CEO, ทีม Co-founder, และวัฒนธรรมองค์กรที่ MuvMi ยึดถือ
“การที่มีคนร่วมลุยด้วยในวันที่มันยาก — คือสิ่งที่ทำให้เรายังไปต่อได้”
ในอีก 5 ปีข้างหน้า เป้าหมายในการเติบโตของ MuvMi เป็นอย่างไร? และคุณมองเห็นศักยภาพของตลาดในระดับไหน?
เรามองว่าตลาดนี้โตแน่นอนครับเพราะว่า urbanization มันเกิดขึ้นชัดเจน - คนย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ และระบบขนส่งมวลชนเองก็ขยายตัวมากขึ้นเหมือนกัน พอ network ของ mass transit เพิ่มขึ้น คนก็จะเริ่มใช้เยอะขึ้นและนั่นแหละที่ทำให้ความต้องการของระบบ feeder หรือการเชื่อมต่อรอบขอบของระบบหลักสูงขึ้นตามไปด้วย
สิ่งที่น่าสนใจคือมันไม่ได้เกิดแค่ในไทยแต่กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศ อย่างเวียดนามเองก็เพิ่งเริ่มเปิดระบบ mass transit ใหม่ๆ หรือเมืองใหญ่ในเอเชียก็มีแผนจะขยาย network กันแทบทุกเมือง
เพราะฉะนั้นในมุมของเราตลาดนี้คือ “ตลาดที่กำลังเติบโต และยังโตได้อีกเยอะ” และเราคิดว่ามันคือโอกาสที่ใหญ่มากสำหรับ MuvMi ในการขยายไปในอนาคตครับ
การให้บริการในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกแค่ไหน? และมีแผนจะพัฒนา Product หรือ Feature ใหม่ๆ ในอนาคตหรือไม่?
จริงๆ แล้วเรามองว่าภายใน ปีนี้ MuvMi จะต้องเริ่มขยายออกจากกรุงเทพให้ได้ครับ และในอีกประมาณปลายปีหน้าหรือปีถัดไปเราตั้งเป้าว่าจะต้องได้ขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศด้วย
สิ่งที่เราเห็นคือมันยังมีโอกาสอีกเยอะมากทั้งในเมืองใหญ่ที่ระบบขนส่งยังไม่ครอบคลุม และในเมืองรองที่ยังไม่มีบริการ feeder system ที่ดีพอ เราเชื่อว่านี่คือ segment ที่ยัง ไม่ได้ถูก modernize มากพอ และมันคือ ช่องว่างที่เราสามารถเข้าไปเติมเต็มได้ ทั้งในเชิงการให้บริการ และการนำเทคโนโลยีเข้าไปเปลี่ยนประสบการณ์เดินทางของคนในเมืองเหล่านั้น
แน่นอนว่าในกระบวนการขยายเราก็มีการพัฒนา product และ feature ใหม่ๆ อยู่ตลอดเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานในบริบทที่ต่างกันทั้งเรื่องระบบการจอง การจับคู่เส้นทางหรือแม้แต่การเชื่อมโยงกับระบบขนส่งหลักของแต่ละพื้นที่ในอนาคตครับ
คุณมองเห็นโอกาสในการขยาย MuvMi ไปยังประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียนหรือไม่ และคิดว่าปัญหาแบบไหนที่เทคโนโลยีของ MuvMi สามารถเข้าไปช่วยแก้ได้?
ผมคิดว่าโอกาสสำหรับ MuvMi มันใหญ่แน่นอนครับ ไม่ใช่แค่ในกรุงเทพฯ หรือประเทศไทยเท่านั้นแต่เมืองอื่นๆ ในอาเซียนก็มีลักษณะปัญหาคล้ายกันและยังมีช่องว่างให้เข้าไปเสริมได้อีกเยอะ
เทคโนโลยีที่เราพัฒนาคือระบบที่เรียกว่า “Demand Responsive Transport” ซึ่งเรามองว่ามันสามารถเปลี่ยนรูปแบบระบบคมนาคมในเมืองได้จริงๆ โดยเฉพาะในเมืองที่ยังไม่ได้มีระบบขนส่งขนาดใหญ่หรือ infrastructure พร้อม เพราะโดยปกติแล้วเวลาเมืองไหนจะพัฒนา mass transit ก็มักจะคิดถึงรถบัสขนาดใหญ่ สถานี ป้าย ซึ่งลงทุนสูงมากและต้องมีจำนวนผู้ใช้เยอะถึงจะคุ้มทุนแต่สิ่งที่เราทำคือใช้เทคโนโลยีมาสร้าง economy of scale แทนโครงสร้างขนาดใหญ่ เช่น:
- ใช้ มือถือ เพื่อระบุตำแหน่งและความต้องการของผู้โดยสาร
- ใช้ AI และ Dynamic Group Pooling เพื่อจัดกลุ่มผู้โดยสารที่เดินทางในเส้นทางใกล้เคียงกัน และ เพิ่มการใช้ประโยชน์จากรถแต่ละคันให้สูงที่สุด
ซึ่งทั้งหมดนี้หมายความว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเมืองที่มีความหนาแน่นสูงก็สามารถให้บริการได้และยังช่วยเชื่อมระบบการเดินทางในเมืองเล็กๆ หรือเมืองที่กำลังโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถามว่าเรามั่นใจแค่ไหนว่าจะเข้าไปแก้ได้? แน่นอนครับว่าเรายังต้องทดลองและปรับตามบริบทแต่เราคิดว่านี่คือหนึ่งในเป้าหมายของเราเพราะ vision ของ MuvMi คืออย่างน้อยต้องไปให้ถึง Southeast Asia
ที่ผ่านมาเราเคยได้รับการสนับสนุนจาก ADB (Asian Development Bank) ผ่าน Banpu ในการทำ research เรื่องระบบเดินทางระยะสั้นในภูมิภาคอาเซียน หนึ่งในประเทศที่เราไปศึกษาคือฟิลิปปินส์ ซึ่งสิ่งที่เราเจอคือโครงสร้างของการเดินทางในเมืองหลายๆ แห่งมีความคล้ายกับไทย เช่น:
- มีระบบขนส่งที่เกิดขึ้นแบบ bottom-up
- มีสหกรณ์และผู้ประกอบการรายย่อย
- ภาครัฐพยายามควบคุมแต่ก็ยังไม่สามารถจัดการได้เต็มที่เพราะขาดงบประมาณ
ทั้งหมดนี้ทำให้เรามั่นใจว่าสิ่งที่เราสร้างอยู่อย่างน้อยมันคือแพลตฟอร์มที่สามารถต่อยอดและปรับเข้ากับบริบทของแต่ละประเทศได้ และนั่นคือสิ่งที่เรากำลังเดินหน้าอยู่ครับ
ทำไมบริษัทถึงเลือกที่จะระดมทุนผ่านคราวด์ฟันดิง?
เรามองว่า Crowdfunding เป็นช่องทางที่มีประโยชน์มากครับโดยเฉพาะจากประสบการณ์ที่เราเคยทำกับ PeerPower มาก่อน เราเห็นเลยว่ามัน ไม่ได้เป็นแค่ช่องทางในการระดมทุนเท่านั้นแต่ยังเป็นช่องทางในการได้ฟังมุมมองของนักลงทุนหลากหลายกลุ่มด้วย
ในรอบก่อนๆ เราได้เจอกับกลุ่มนักลงทุนที่ค่อนข้าง unique หลายคนเป็นคนที่ ใช้งาน MuvMi จริงๆ และ ให้คุณค่ากับสิ่งที่เราทำ ซึ่งหลายท่านก็เสนอไอเดียหรือ feedback ที่น่าสนใจมากๆ ให้กับเรา
เรามองว่า Crowdfunding คือ อีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยให้เราเข้าใจว่า คนมอง MuvMi ว่าอย่างไร ไม่ใช่แค่ในฐานะผู้ใช้งาน แต่ในฐานะนักลงทุนด้วย และนั่นทำให้เราได้มุมมองที่ลึกขึ้น และพัฒนาธุรกิจให้ตอบโจทย์ได้รอบด้านมากกว่าเดิมครับ
ข้อเสนอแนะหรือสิ่งที่อยากให้ปรับปรุงในการระดมทุนผ่านคราวด์ฟันดิง?
ถ้าพูดถึงข้อดี ผมได้พูดไปก่อนหน้านี้แล้วว่า Crowdfunding เปิดโอกาสให้เรา ได้ engage กับนักลงทุนในอีกรูปแบบหนึ่ง คือเป็นกลุ่ม individual investor ที่ไม่ใช่สถาบัน ซึ่งก็ช่วยให้เราได้มุมมองใหม่ๆ ในการดำเนินธุรกิจ MuvMi แต่ถ้าถามว่ามีอะไรที่อยากให้ปรับปรุง ผมคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องของการเปิดให้มีนักลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งในมุมของจำนวนคนและมุมมองที่หลากหลายยิ่งขึ้น
เข้าใจว่าการทำ Crowdfunding มีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ขนาดการลงทุนขั้นต่ำ (ticket size) ที่ต้องกำหนดไว้ เพื่อให้ระบบมัน manageable ได้ แต่ถ้าในอนาคตสามารถขยายให้เข้าถึง segment อื่นๆ ได้มากขึ้น ก็น่าจะน่าสนใจเพราะจะช่วยให้เราได้ input จากหลายมุมและเพิ่มโอกาสทางการเงินไปพร้อมกัน
แน่นอนว่ามันเป็น trade-off เพราะการมีนักลงทุนจำนวนมากขึ้นก็อาจมาพร้อมกับความคาดหวังและการบริหารจัดการที่ซับซ้อนขึ้นด้วย แต่โดยรวมผมว่าถ้าบาลานซ์ได้ดีมันจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายครับ
สรุปส่งท้าย
จากบทสัมภาษณ์นี้ สิ่งที่เราเห็นไม่ใช่แค่ธุรกิจขนส่ง แต่คือวิธีคิดที่พา MuvMi เติบโตจาก pain point เล็กๆ ไปสู่การเปลี่ยนอนาคตของการเดินทางในเมือง
ตั้งแต่เทคโนโลยีที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ไปจนถึงวิธีคิดเรื่องความยั่งยืน ที่ไม่ได้แค่พูด แต่ลงมือทำจริง
MuvMi กำลังพิสูจน์ว่า “การเดินทางที่ดี” ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากถนนใหญ่ แต่มันเริ่มจากการเข้าใจคนเมืองจริงๆ






-resized.png)

