เมื่อคุณต้องนำเสนอไอเดียหรือโมเดลธุรกิจต่อ Venture Capital หรือ Angel Investor สิ่งที่พวกเขามองหาไม่ใช่แค่ "รายได้ที่เติบโต" หรือ "ผู้บริหารที่เก่ง" เท่านั้น แต่เป็นการประเมินความสามารถในการเติบโตอย่างยั่งยืน และโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับ 5 ปัจจัยสำคัญ ที่นักลงทุนใช้เป็น "เรดาร์หลัก" เพื่อประเมินธุรกิจที่กำลังจะตัดสินใจลงทุน พร้อมคำแนะนำว่าคุณควรเตรียมตัวอย่างไรบ้างให้ธุรกิจดูน่าสนใจและมั่นใจต่อหน้าผู้ลงทุน
.png)
1.Moat — ความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน
“ธุรกิจของคุณป้องกันตัวเองจากคู่แข่งได้ดีแค่ไหน?”
นักลงทุนต้องการเห็น “เกราะป้องกัน” ที่ทำให้ธุรกิจไม่ถูกแย่งลูกค้าไปง่าย ๆ ซึ่งมักมาจากองค์ประกอบต่อไปนี้:
แบรนด์แข็งแรง (Brand Loyalty): เมื่อลูกค้าผูกพันกับแบรนด์ พวกเขาจะกลับมาซื้อซ้ำแม้มีคู่แข่งราคาถูกกว่า และยังบอกต่อให้คนใกล้ชิดใช้ตาม ทำให้ค่าใช้จ่ายในการหาลูกค้าใหม่ลดลงเรื่อย ๆ
สิทธิบัตร หรือ IP (Intellectual Property): การจดสิทธิบัตรหรือถือกรรมสิทธิ์ทางเทคโนโลยี จะทำให้คู่แข่งไม่สามารถลอกเลียนได้ง่าย และช่วยให้คุณตั้งราคาสูงขึ้น หรือรักษาส่วนแบ่งตลาดได้นานขึ้น
เครือข่ายผู้ใช้งาน (Network Effect): หากผู้ใช้ในระบบยิ่งมาก คุณค่าที่ลูกค้าแต่ละคนได้รับก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เช่น แอปแชตที่เพื่อนทั้งห้องใช้งาน หรือแพลตฟอร์มตลาดกลางที่มีผู้ซื้อ–ผู้ขายหนาแน่น หากเครือข่ายยิ่งเติบโต ยิ่งรักษาลูกค้าไว้อยู่กับเราได้นาน
ยิ่ง “Moat” กว้าง ธุรกิจก็ยิ่งแข็งแรง และคู่แข่งยิ่งเข้ามาแย่งยาก

2.Scalability — ความสามารถในการขยายธุรกิจ
“รายได้สามารถโต 10 เท่า โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุน 10 เท่าหรือไม่?”
ธุรกิจที่ดีต้องไม่โตแบบ “กินทรัพยากร” เกินจำเป็น นักลงทุนมองหาโมเดลที่สามารถขยายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น:
ธุรกิจประเภท SaaS หรือแพลตฟอร์มดิจิทัล หากสามารถเพิ่มลูกค้าหลายเท่า โดยไม่ต้องเพิ่มจำนวนพนักงานหรือใช้เงินลงทุนเพิ่มเติมในโครงสร้างพื้นฐานมาก จะมีความได้เปรียบในการขยายธุรกิจ
บริษัทจึงควรให้ความสำคัญกับการสร้าง “กำไรส่วนเพิ่ม” ที่สูงขึ้นเมื่อฐานลูกค้าโตขึ้น หรือที่เรียกว่า Operating Leverage
ธุรกิจที่ “โตเร็ว แต่เบา” จะสามารถสร้างกำไรได้มากขึ้นโดยใช้ต้นทุนที่น้อยลง และมีมูลค่าในสายตานักลงทุนสูงขึ้น

3.Market Size — ขนาดของตลาด (TAM, SAM, SOM)
“ตลาดนี้ใหญ่พอสำหรับการสร้างธุรกิจระดับ Unicorn หรือไม่?”
นักลงทุนจะประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนผ่านขนาดตลาด ซึ่งแบ่งเป็น 3 ระดับ:
- TAM (Total Addressable Market): มูลค่ารวมของตลาดถ้าคุณครองตลาดได้ 100%
- SAM (Serviceable Available Market): ส่วนของตลาดที่คุณเข้าถึงได้จริงภายใต้ข้อจำกัด เช่น ภาษา, พื้นที่ หรือ กฎเกณฑ์
- SOM (Serviceable Obtainable Market): ส่วนของตลาดที่คุณคาดว่าจะได้ใน 3–5 ปีข้างหน้า
โดยทั่วไป นักลงทุนเริ่มสนใจตลาดที่มี TAM เกิน 1,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 35,000 ล้านบาท) เพราะเพียงพอที่จะรองรับการเติบโตระดับ Unicorn ได้จริง และใหญ่พอที่จะรองรับผู้เล่นจำนวนมาก

4.Customer Stickiness — ความเหนียวแน่นของลูกค้า
“ลูกค้าจะอยู่กับคุณได้นานแค่ไหน?”
การรักษาฐานลูกค้าเดิมให้กลับมาใช้บริการซ้ำเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน ซึ่งสามารถวัดได้ผ่าน:
- Retention Rate: อัตราการกลับมาใช้บริการของลูกค้าเดิม ยิ่งสูง แสดงว่าลูกค้า “ติด” แบรนด์
- Subscription Model: สร้างรายได้ประจำจากการเก็บค่าสมาชิกแบบรายเดือนหรือรายปี
- Integration หรือ Lock-in: การฝังระบบเข้ากับกระบวนการทำงานของลูกค้า (เช่น ERP, CRM) ทำให้การย้ายผู้ให้บริการหรือยกเลิก มีต้นทุนสูง
ธุรกิจที่ลูกค้าใช้ซ้ำอยู่เสมอ จะมีรายได้ที่มั่นคง และใช้ต้นทุนการตลาดต่ำลงเรื่อย ๆ

5.Unit Economics — กำไรต่อลูกค้าหนึ่งราย
“ขายได้แล้ว เหลือกำไรหรือเปล่า?”
Unit Economics คือการวัดผลประกอบการระดับ “ลูกค้ารายเดียว” หรือ “คำสั่งซื้อเดียว” โดยพิจารณาว่าธุรกิจสามารถสร้างกำไรจากการขายต่อหน่วยได้หรือไม่ หากการขายต่อหน่วยยังขาดทุน บริษัทควรปรับเปลี่ยนโมเดลการดำเนินธุรกิจโดยทันที
ตัวชี้วัดสำคัญคือ:
- LTV (Lifetime Value): รายได้ที่ลูกค้าคนหนึ่งสร้างให้บริษัทตลอดอายุความสัมพันธ์
- CAC (Customer Acquisition Cost): ค่าใช้จ่ายที่ใช้เพื่อให้ได้ลูกค้าหนึ่งคน เช่น ค่าโฆษณาและการตลาด
- ถ้า LTV/CAC > 3 เท่า ธุรกิจเริ่มน่าสนใจ เพราะใช้เงิน 1 บาท เพื่อให้ได้กลับมา 3 บาท
- ถ้า LTV/CAC > 5 เท่า ธุรกิจมีคุณภาพสูง และมีศักยภาพในขยายกำไรได้แบบไม่เผาเงิน
สรุป
หากคุณกำลังเตรียมตัวเพื่อ Pitch ต่อ VC หรือ Angel Investor การแสดงให้เห็นว่า ธุรกิจของคุณมี “Moat กว้าง – โตเร็ว – ตลาดใหญ่ – ลูกค้าเหนียวแน่น – และทำกำไรต่อหน่วยได้จริง” จะช่วยให้คุณดูน่าลงทุนในทุกมิติ และเพิ่มโอกาสในการระดมทุนได้มากขึ้นอย่างแท้จริง
เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ทั้ง 5 ปัจจัยนี้ให้ชัด เตรียมเอกสารและตัวเลขสนับสนุนไว้ให้ครบ และให้ PeerPower เป็นที่ปรึกษาขับเคลื่อนการเติบโตและนวัตกรรมของธุรกิจคุณ
หากคุณเป็นบริษัทที่ต้องการหาที่ปรึกษาสำหรับการเปิดระดมทุนของคุณ หรืออยู่ระหว่างรอบการระดมทุนร่วมกับ Lead Investor และต้องการเปิดให้ผู้ลงทุนรายอื่นเข้าร่วม
PeerPower มีเครื่องมือและทีมงานพร้อมช่วยให้คุณสามารถระดมทุนจากเครือข่ายนักลงทุนของคุณได้อย่างมืออาชีพ เริ่มต้นได้ง่าย ๆ เพียงกรอกแบบฟอร์มสมัครระดมทุน ทีมงานของเราจะติดต่อกลับเพื่อพูดคุยรายละเอียดและแนะนำแนวทางที่เหมาะสมกับแผนระดมทุนของคุณ